วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สัมภาษณ์สถาปนิกรุ่นพี่ลาดกระบัง วิชาปฏิบัติวิชาชีพ ชั้นปีที่ 5คณะสถาปัตยกรรม

ผู้ให้สัมภาษณ์ : พี่พงศ์ภพ นาราพานิช

พี่พงศ์ภพ นาราพานิช เป็นรุ่นพี่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง เข้าเรียนในรหัสนักศึกษา 36 หรือในปีพ.ศ.2536 และสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.2540

สถานที่สัมภาษณ์ : ออฟฟิตสถาปนิก idin architect

ผู้สัมภาษณ์ : สวัสดีค่ะพี่ อยาทราบว่าทำไมพี่ถึงเลือกเรียนสายนี้และประกอบวิชาชีพในสายนี้ค่ะ

พี่พงศ์ภพ : จริงๆแล้วต้องยกเครดิตให้พี่ชายของเพื่อนสนิทพี่ ชื่อพี่ชิน (ชินวัตร อิศรางกูร ณ อยุธยา) ซึ่งตอนนั้นเทห์มาก เวลาพี่ไปหาเพื่อน พี่ก็จะเจอพี่ชินนั่งทำงานอยู่ พี่ชินลุคจะเท่ห์มาก ไว้ผมยาว ก็เลยไปถามว่า พี่ชินเรียนคณะอะไร ก็เลยทราบว่าเรียนอยู่ที่คณะสถาปัตย์ ที่ลาดกระบัง ตอนแรกก็อยากก็เรียนเพราะความเท่ห์ เพื่อนสนิทพี่ก็เลยพาไปติว ติววาดรูปอยู่ที่ ม.ศิลปากร สุดท้ายพอม.6 ก็เลยมาติวกับพี่สถาปัตย์เพื่อนพี่ชิน ที่ลาดกระบัง และอีกเหตุผลหนึ่งที่พี่อยากเรียน คือ สมัยนั้นที่พี่เรียน ร.ด.นั่งรถกลับบ้านผ่านคณะสถาปัตย์ที่จุฬา มองเข้าไปเห็นเค้าสนุกสนานกัน เล่นสเก็ตบอร์ด ตีกลอง ร้องเพลง ดูว่างๆกัน ก็เลยคิดว่าน่าเรียนดี ซึ่งในตอนนั้นพี่วาดรูปไม่เป็นเลย คือต้องใช้พรแสวงอย่างเต็มที่ ส่วนมากทุกอย่างก็จะเกิดจากความพยายาม

ผู้สัมภาษณ์ : ค่ะ แล้วงานที่พี่ทำตอนนี้เกี่ยวของกับอะไรบ้างค่ะ

พี่พงศ์ภพ : ตามจริงต้องขอท้าวความไปตอนพี่จบมาก่อน ตอนพี่จบมาก็ทำงานอยู่ปีนึงแล้วจึงไปเปิดออฟฟิตเล็กๆกับรุ่นน้องได้อีกประมาณซักปีกว่าๆ แล้วก็ไปเรียนต่อด้าน interior environment ที่สหรัฐอเมริกา ก็คือทั้งไปเรียนไปใช้ชีวิตด้วยอยู่ 5 ปี กลับมาก็ได้เปิดเป็นสตูดิโอเล็กๆแต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท เมื่อเจองานใหญ่ๆก็จะฟอร์มทีมกันทำงาน งานประเภทที่ทำก็จะเป็นงานออกแบบทางด้าน สถาปัตยกรรม งานinterior งานProduct และงาน graphic ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานออกแบบ เพราะตอนที่พี่ไปทำงานอยู่ที่อเมริกา เราได้ถูกเปิดโลกทัศน์และวิสัยทัศน์ ว่างานออกแบบมันไม่ได้จำกัดอยู่ที่งานด้านสถาปัตยกรรมหรืองานตกแต่งภายใน

พี่ขอแนะนำว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นสถาปนิก แต่เราก็ควรสนใจงานศิลปะหรืองานออกแบบทุกๆงาน มันจะทำให้เรามีฐานและมีข้อมูลที่ใช้ในการทำงานได้ดี

สตูดิโอที่พี่ทำ ก็ทำได้ประมาณ 3-4 ปี มันก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ลุ่มๆดอนๆก็เลยมารวมกับออฟฟิตไอดิน ของพี่เป้ คือมีเป้าหมายที่เหมือนกัน มีจริตที่เหมือนกัน มีความฝันที่เหมือนกัน เรียกว่าเราเข้ามาช่วยกัน อะไรที่เป็นจุดอ่อนเราก็จะอุด อะไรที่เป็นจุดแข็งเราก็จะช่วยกันพัฒนา ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาชีพโดยตรง จะเป็นเรื่องของการสะสมประสบการณ์ เมื่อเราเห็นมากเราก็จะรู้ว่าอะไรที่เหมาะสมจบโจทย์นั้นๆ ซึ่งมันจะเป็นส่วนเติมเต็มของการทำงาน

และงานอีกอย่างหนึ่งที่พี่ทำก็คือการสอนหนังสือ คือ พี่เป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสืออยู่ที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรมที่ ม.ธรรมศาสตร์ และ คณะศิลปกรรมศาสตร์ที่ ม.กรุงเทพ

มุมมองในงานสถาปัตยกรรมของพี่จะเกี่ยวกับเรื่องของ space ซึ่งสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้กับอาจารย์ฝรั่ง ที่พี่ไปเรียนมา ซึ่งการออกแบบไม่จำกัดแค่การออกแบบสถาปัตยกรรมหรือการตกแต่งภายใน แต่จะเกี่ยวข้องถึงการสร้างความสัมพันธ์กับตัว space ตั้งแต่ภายในไปจนถึงงานภูมิสภาปัตย์ เวลาที่พี่ไปสอนเด็ก ก็จะสอนให้มองงานที่เกิดขึ้นจาก space แล้วค่อยขยายไปเป็นงานสถาปัตยกรรม

ผู้สัมภาษณ์ : ค่ะ พี่มีข้อคิดในการทำงานอยู่ไรบ้างค่ะ

พี่พงศ์ภพ : จริงๆ หลายครั้งที่ถูกถามคำถามนี้ พี่ใช้คำเดียว แต่สองพยางค์ คือ ตั้งใจ แค่นั่นเอง

ผู้สัมภาษณ์ : พี่คิดว่าข้อดีของการที่เราประกอบอาชีพนี้ แตกต่างจากอาชีพอื่นอย่างไรบ้างค่ะ

พี่พงศ์ภพ : พี่ว่าพี่มองใสแง่ของคน ว่าเราได้เจอคนเยอะได้เจอคนหลากหลาย คือเปรียบเทียบกันกับอาชีพอื่น แล้วไม่ได้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ถ้าเราสนุกกับงานเราก็จะได้เบื่อ ไม่รู้สึกจำเจ เพราะงานที่เราทำจะเปลี่ยนไปทุกวันตามโจทย์ ตามลูกค้า เราจะได้เจอคนหลากหลายแบบ เจอสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ถ้าเราอยู่กับมัน เราตั้งใจ แล้วเราจะมีความสุข

ผู้สัมภาษณ์ : พี่คิดว่าชีวิตการทำงานกับการเรียน เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้างค่ะ

พี่พงศ์ภพ : พี่ว่ามันแตกต่างกันนะ คือตอนเรียนเราปล่อยความคิดได้เต็มที่ แต่พี่อาจโทษในเรื่องระบบการศึกษาว่า ถ้าเราเจอครูที่ไม่เปิดใจ สิ่งที่เราปล่อยไปมันจะถูกจำกัด พี่อาจพูดได้ว่าเคยผ่านจุดนั้นมา เพราะฉะนั้น พี่จะไม่ทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการจำกัดความคิด ของคนที่เป็นลูกศิษย์ แต่ถ้าเป็นในชีวิตจริงของการทำงาน มันจะตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริง มันก็จะมีโจทย์และปัจจัยหลายๆอย่าง ที่บังคับเรามากขึ้น ดังนั้นตอนที่เรากำลังเรียน ขอให้ปล่อยความคิดให้มันเต็มที่ อยากทำอะไร ทำ พยายามสู้กับอาจารย์เค้าหน่อย สู้โดยการใช้เหตุผลกับข้อมูล และความตั้งใจในงานออกแบบที่จะแสดงให้เค้าดู

ผู้สัมภาษณ์ : พี่มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างค่ะ กับจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ

พี่พงศ์ภพ : พี่ขอพูดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลย อะไรที่เรียกว่า มันเป็นระเบียบปฏิบัติ กฏที่อยู่ในจรรยาบรรณ คืออยากให้พวกเราเดินตาม อะไรทีมันไม่เหมาะสม ไม่ควรก็อย่าไปทำ และพูดได้เลยว่าสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพนั้นพี่ไม่เคยทำ ขอให้ทำให้มันเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ และจรรยาบรรณวิชาชีพจะดีกว่า

ผู้สัมภาษณ์ : พี่คิดว่าแนวทางของการประกอบวิชาชีพของพวกเราในอนาคตเป็นอย่างไรบ้างค่ะ

พี่พงศ์ภพ : พี่อยากให้คนที่มีความสามารถและมีความคิดตรงกัน อยู่ด้วยกันดีกว่า ไม่ใช่ว่าคนที่มีความสามารถแล้วคิดออกไปแยกตัวอยู่คนเดียว พี่ว่าตรงนั่นมันจะทำให้เกิดการแตกกระจายของความสามารถในวิชาชีพ และนั้นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พี่มารวมกับพี่เป้ เป็นเพื่อนสนิทกันมา ผ่านยุคที่ใกล้เคียงกันอย่างเดียวกัน จึงมารวมอยู่ด้วยกันเป็นทีมเดียวกัน คือในอนาคต ถ้าพี่มองนะ พี่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบว่า เก่งแล้วจะชอบอยู่เดี่ยวจะเยอะ เหมือนกับจอมยุทธ์ แต่จอมยุทธ์สมัยก่อนจะน้อย แต่สมัยนี้มันมีเยอะ ทำไมไม่มารวมอยู่เป็นตำหนัก แล้วมันจะช่วยยกระดับคุณภาพวิชาชีพของการออกแบบได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ผู้สัมภาษณ์ : สุดท้ายนี้ พี่มีขอเสนอแนะอะไร แนะนำกับสถาปนิกจบใหม่บ้างค่ะ

พี่พงศ์ภพ : ต้องอดทน ปัญหาที่ทุกคนมอง รุ่นพี่มอง หรือรุ่นใหญ่กว่าพี่เค้ามอง จะมองในเรื่องของความอดทน พี่ขอยกคำพูดของพี่ด้วง ดวงฤทธิ์ บุญนาค เค้าบอกว่า เด็กรุ่นเรามันเป็นเด็กยุคซีดี แต่เด็กรุ่นพี่หรือรุ่นใหญ่กว่าพี่เป็นเด็กยุคเทปคลาสเซ็ส กว่าจะได้ฟังแต่ละเพลงก็ต้องกรอ กรอเกินก็ไม่ได้ฟัง ไม่อยากกลอกลัวเทปยืด ก็ต้องนั่งฟังจนถึงเพลงที่ตัวเองอยากจะฟัง แต่รุ่นของเรานั้นสบาย ถ้าเราอยากฟังเพลงที่5 ก็กดฟังเพลงที่5 ได้เลยสบายๆ ไม่ต้องรอนาน และนี่คือสิ่งที่เค้าเปรียบเทียบรุ่นเราเอาไว้ เพราฉะนั้น เราควรมีความอดทน ต้องอดทนให้มากๆ สมมุติว่าเข้าไปสมัครงานที่ไหน อย่างน้อยสิบสองเดือนอยู่ให้ถึง ไม่ใช่ว่าสามสี่เดือนก็ไปแล้ว หนักเอาเบาสู้ ไม่ทำอะไรเล่นๆ ถ้าพูดถึงเรื่องของธรรมะ มันเป็นเรื่องของหลักธรรมที่เรียกว่า อิทธิบาทสี่ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ) ซึ่งพี่ก็ขอฝากเรื่องของความอดทนไว้ ณ ที่นี้ละกัน

ผู้สัมภาษณ์ : ค่ะ ก็ขอขอบพระคุณ พี่พงศ์ภพ นาราพานิช มากๆเลยนะค่ะ สำหรับการให้สัมภาษณ์ ที่ได้ทั้งความรู้และแนวคิด แนวทางในการดำเนินชีวิต ขอขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

วัดโพธิ์ ความแตกต่างอย่างลงตัว


>>> วัดโพธิ์ ความแตกต่างอย่างลงตัว


>ถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกทำหัวข้อนี้ คงจะตอบได้ว่าด้วยความที่ตนเองอยากไปเที่ยวจึงเลือกทำหัวข้อรายงานเรื่อง วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม วัดในเกาะรัตนโกสินทร์ วัดที่มีการหล่อมรวมของศิลปวัฒนธรรมอย่างลงตัว

การเดินทางมาวัดโพธิ์มีได้หลายทาง แล้วแต่ว่าคุณจะชอบวิธีไหน อาจมาแบบชิลๆทางเรือด่วนเจ้าพระยา ชมริมสองฝั่งน้ำเจ้าพระยา ราคา14บาทตลอดสายไปจนถึงท่าน้ำเมืองนนท์ หรืออาจเดินทางมาด้วยบริการขนส่งมวลชนอย่างรถเมล์ ถ้าคุณเดินทางมาทางนี้ก็จะเห็นบรรยากาศของเกาะรัตนโกสินทร์ไปอีกแบบ ทั้งบ้านช่อง การใช้ชีวิตของผู้คน วัดวาอารามหลวง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชอบทุกครั้งที่ได้เดินทางมายังเกาะรัตนโกสินทร์

หลังจากออกนอกเรื่่องไปเสียนานเราก็วกกลับมายังวัดโพธิ์กันต่อ วัดโพธิ์ตั้งอยู่บริเวณชุมชนท่าเตียน ชุมชนเก่าสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าชุมชนนี้ส่วนมาเค้าจะเป็นแหล่งขายของแห้งขนาดย่อมๆ รวมถึงพวกยาหอมสำหรับคุณปู่คุณย่าที่นี่ก็มีเยอะเช่นกั



เมื่อเราก้าวเข้าสู้วัดโพธิ์ เราจะเดินผ่านซุ้มประตู เป็นซุ้มประตูทรงมงกุฏ เป็นงานกระเบื้องเคลือบดินเผาประดับเป็นลวดลายดอกไม้มีหลากหลายสีสัน ถือเป็นประตูเข้าสู่เขตพุทธาวาส วัดโพธิ์มีซุ้มประตูทางเข้าทรงมงกุฏทั้งหมด 16ประตู แต่ละประตูก็จะมีตุ๊กตาจีน หรือที่เรียกว่า ลั่นถัน มายืนเฝ้าขนาบประตุทั้งสองข้าง ซึ่งตุ๊กตาจีนเปรียบกับทหารรักษาประตูของจีนในสมัยโบราณ ลั่นถันในวัดโพธิ์มีหลากหลายรูปแบบ ยืนขนาบซุ้มประตูเล็กใหญ่ต่างๆในวัดโพธิ์ และตุ๊กตาจีนลั่นถันนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ เมื่อคุณพูดถึงวัดโพธิ์ก็ต้องนึกถึงสิ่งนี้

ซุ้มประตูทรงมงกุฏ
ลั่นถัน
ตุ๊กตามาร์โคโปโล ยืนเฝ้าซุ้มประตู

ถ้าคุณได้เดินลอดซุ้มประตูทรงมงกุฏและทำความรู้จักกับลั่นถันมาเรียบร้อยแล้ว ถือว่าคุณได้เข้ามาอยู่ในเขตพุทธสีมาของวัดโพธิ์ และถ้าคุณเข้าวัดโพธิ์ทางฝั่งท่าเตียนคุณจะพบกับพระอุโบสถใหญ่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัขกาลที่ 1 ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธไสยาทที่สร้้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ตามผนังพระอุโบสถมประดับด้วยลวดลายจิตรกรรมฝาผนัง บานประตูหน้าต่างเป็นลวดลายลงรักปิดทอง ที่ยังถือเป็นศิลปะแบบไทยอยู่ แต่ถัดมาจากตัวพระอุโบสถเข้ามา จะเป็นลานกว้างจัดสวนเป้นเขามอที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน มีการประดับตกแต่งด้วยไม้ดัด และตุ๊กตาหินจากจีน โดยมีหอระฆังประดับด้วยกระเบื้องเคลือบอยู่ด้านข้างลานกว้าง ซึึงถือเป็นการผสมวัฒนธรรมแบบจีนกับไทยเข้าด้วยกัน และเมือเราได้เดินทัศนาจรเข้ามในวัดโพธิ์เรื่อยๆ ก็จะยิ่งพบการผสมผสานทางวัฒธรรมเช่นนี้มากยิ่งขึ้น

พระอุโบสถ
พระพุทธไสยาท

จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ

เมื่อเราเดินทัศนาจรมาเรื่อยๆก็จะพบกับแผ่นหินจารึกต่างๆ ซึ่งวัดโพธิ์ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะมีจารึกวิชาความรุ้ต้างๆ อยู่ตามเสาและผนังของวัดโพธิ์ ซึ่งมีทั้งตำรายา มีตำรากุมารเวช โคลงกลอนต่างๆ และวิธีการนวดจับเส้น ซึ่งการนวดแผนไทยนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับวัดโพธิือีกเช่นกัน



สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่โดดเด่นของวัดโพธิ์ คือการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทย และจีนเข้าด้วยกัน อย่างที่ได้กล่าวมาในข้างต้น โดยแสดงออกมาในหลายรูปแบบ อาทิ การจัดภูมิสถาปัตยกรรม เช่น เขามอ การใช้ไม้ดัดในการจัดสวน การใช้ตุ๊กตาจีน ผสมผสานกับพรรณไม้ของไทย ตามสวนที่จัดนอกจากจะมีพวกตุ๊กตาจีนมาประดับตกแต่งแล้ว ยังมีพวกตุ๊กตาฤาษีดัดตน เป็นท่ากายบริหารต่างๆ ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆที่เรียกว่าเขามอนี้ด้วย โดยเขามอได้รับอิทธิพลมาจากจีน เป็นเขาหินเล็ก มาวางซ้อนกัน ปลูกไม้ดัดและพันธุ์ไม้ต่างๆ



นอกจากนั้นยังมีการผสมผสานทางศิลปะวัฒนธรรม ของไทยกับจีนที่แสดงออกมาในรูปงานสถาปัตยกรรม โดยอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบจีนได้เข้ามาในสมัยรัชกาลที่สาม เป็นงานก่ออิฐถือปูน มีการใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับหน้าบันของอาคาร ถือเป็นศิลปะแบบพระราชนิยม ซึ่งเข้ามาในช่วงการติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับจีนมีความเจริญรุ่งเรื่องในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งจีนได้นำสิ่งของจำพวกกระเบื้องเคลือบเข้ามาขายในประเทศไทย จึงเป็นเหตุให้เกิดงานสถาปัตยกรรมไทยที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบแบบจีน พร้อมทั้งตุ๊กตาลั่นเถาที่ถูกบรรทุกมาพร้อมกับสำเภาจีน โดยงานสถาปัตยกรรมในวัดโพธิื มีการสร้างเจดีย์ อาคาร และ ศาลาราย ที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบจีน มีงานปูนปั้นประดับกระเบืื้องเคลือบ มีการลดทอนรายละเอียดจากสถาปัตยกรรมไทย ที่เป็นทรงเครื่องลำยองแบบเดิม ซึ่งปรากฏในงานสถาปัตยกรรมต่างๆทีสำคัญในวัดโพธิ์ ดังต่อไปนี้

พระมณฑป หอไตรจตุรมุก และยักษ์วัดโพธิ์
สถาปัตยกรรมจตุรมุข เครื่องยอดทรงมงกุฎ ประดับกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี ภายในมีตู้เก็บพระไตรปิฎก มีศาลารายล้อมพระมณฑปสามด้าน

พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล
พระเจดีย์ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยหลากสี มีตุ๊กตาหินจีนประตูละคู่ พระมหาเจดีย์แต่ละองค์เป็นเจดีย์ย่อไม้สิบสอง ประกอบด้ยเจดีย์ประจำรัชกาลที่หนึ่งถีงรัชกาลสี่

สระจระเข้
เจดีย์แบบจีน ตุ๊กตาจีน ไม้ดัด ในวัดแบบไทย
พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดี่้ยว
ประกอบด้วยพระเจดีย์ใหญ่ ตรงกลางล้อมรอบด้วยพระเจดีย์เล็กสี่องค์ รวมห้าองค์อยู่บนฐานเดียวกัน เป็นสถาปัตยกรรมเจดีย์ย่อไม้สิบสองและเจดีย์แบบไม้สิบสองเพิ่มมุม

เจดีย์ประดับกระเบื้องเคลือบ
ซุ้มประตูแบบจีน
เจดีย์ราย
หน้าบันและเจดีย์ศิลปะแบบพระราชนิยม


นอกจากมีการผสมผสานศิลปะวัฒนธรรมแบบจีนแล้ว วัดโพธิ์ยังมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมแบบขอม ซึ่งปรากฏใน พระมหาสถูป ประดิษฐานพระปรางค์สี่องค์

ซุ้มประตูทรงมงคลและพระมหาสถูป
พระมหาสถูป
การเดินทางมาวัดโพธิ์ครั้งนี้อาจไม่ใช่การมาคร้้งแรก แต่การเดินทางมาครั้งนี้ อาจเป็นการใด้ใช้สายตาพิศดูสิ่งรอบตัวมากกว่าเคย สังเกตสิ่งต่างๆที่เคยมองข้ามในการมาเยือนทุกๆครั้ง เห็นได้ว่าวัดโพธิ์เป็นวัดที่มีการหลอมรวมทางศิลปะะ และวัฒนธรรม ทั้งจีน ไทย และ ขอม ออกมาเป็นรูปแบบงานสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง อาจเป็นเพราะปัจัยทางเศรษฐกิจการเมือง หรือการบูรณะในแต่ละรัชกาลก็ตามที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้จะต่างที่มา แต่ทุกสิ่งในที่นั้นก็ได้หลอมรวมอย่างลงต้วด้วยตัวของมันเอง จนเกิดเป็นวัดโพธิ์

สวนนาคราภิรมย์ สวนสาธารณะข้างวัดโพธิ์ ติดริมฝั่งเจ้าพระยา มองเห็นพระปรางค์วัดอรุณด้านตรงข้ามฝั่งคลอง








วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Vernacular Architecture Trip__kmitl2010 season2

Vernacular Architecture Trip __ทริปตะลุยเมืองเหนือ 9 วั

วันที่ 1 >>> วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2553

เริ่มออกเดินทางจากพระจอมเกล้าลาดกระบังแต่เช้ามุ่งหน้าขึ้นสู่จังหวัดทางภาคเหนือของไทย


สถานที่ จ. อุทัยธานี จ.กำแพงเพชร และ จ. ลำปาง

บ้านเรือนแพ จ.อุทัยธานี

บ้านเรือนแพหลากหลายหลังตั้งลอยอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นจุดรวมของแม่น้ำสองสาย คือ สะแกกรังบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีการอยู่อาศัยกันเป็นชุมชนเรือนแพมาหลายชั่วอายุคน มีวิถีชีวิตริมน้ำที่โดดเด่น มีการจัดพื้นที่ใช้สอยในบ้านต่างออกไปจากบ้านที่ตั้งอยู่บนบก ข้อโดดเด่นมีอากาศเย็นสบายและมีการจัดพื้นที่ใช้สอยที่กระชับเหมาะสมกับพื้นที่ที่มีอยู่จำกัด จากนั้นเราจึงเดินทางมุ่งหน้าต่อไปจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อรับประทานอาหารเย็นแล้วจึงมุ่งหน้าเข้าสู่นครลำปาง

นอกรอบ วันนี้เป็นวันที่นั้งรถนานมาก แต่ก็ได้กินข้าวมันไก่อร่อยๆที่อุทัยธานี ถึงลำปางก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว เกือบจะหลับ แต่พอถึงห้องกลับเจอตุ๊กแกยักษ์ จะหลับก็หลับไม่ลง

วันที่2 >>> วันอาทิตย์ที่ 25กรกฎาคม 2553

สถานที่ จ.ลำปาง

วัดไหล่หินหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง


วัดไหล่หินหลวง เป็นโบราณสถานที่ประกอบด้วยองค์ธาตุเจดีย์ ซุ้มประตูโขง และวิหารโบราณ สร้างในสมัยพระนารายณ์มหาราช มีครูบามหาป่าเจ้าและเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงร่วมสร้าง มีศิลปะปูนปั้นสกุลช่างลำปาง ตลอดจนอุโบสถหลังเล็กประดับด้วยลวดลายไม้ฉลุและแก้วสีต่าง ๆ ซุ้มประตูโขงมีประติมากรรมรูปสัตว์ต่าง ๆ ในป่าหิมพานต์ ช่องประตูมีขนาดเล็กสร้างเพื่อให้มีการเข้าออกได้เพียงครั้งละหนึ่งคน

วัดพระธาตุลำปางหลวง อ.เมือง จ.ลำปาง


ตัววัดตั้งอยู่บนเนิน
สูง มีการจัดวางผัง และส่วนประกอบของวัดสมบูรณ์แบบที่สุด มีสิ่งก่อสร้าง และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ บริเวณพุทธาวาสประกอบด้วย องค์พระธาตุลำปางหลวงเป็นประธาน มีบันไดนาคนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูโขง ถัดซุ้มประตูโขงขึ้นไปเป็น วิหารหลวง บริเวณทิศเหนือขององค์พระธาตุมีวิหารบริวารตั้งอยู่คือวิหารน้ำแต้ม และ วิหารต้นแก้ว ตะวันตกขององค์พระธาตุประกอบด้วย วิหารละโว้ และ หอพระพุทธบาทด้านใต้มี วิหารพระพุทธ และ อุโบสถ ทั้งหมดนี้จะแวดล้อมด้วยแนวกำแพงแก้วทั้งสี่ด้าน นอกกำแพงแก้วด้านใต้มีประตูที่จะนำไปสู่เขตสังคาวาส

วัดปงยางคก อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง

สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นของที่นี่ คือวิหารพระนางจามเทวี อายุพันกว่าปี ลักษณะของการก่อสร้างเป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบลานนา ยุคหริภุญไชยสกุลช่างเขลางค์ วิหารนี้เป็นวิหารขนาดเล็ก ลักษณะทั่วไปของวิหาร เป็นวิหารโถงทำด้วยไม้ ตอนล่างเปิดโล่งตลอดไม่มีประตูและหน้าต่าง ตอนสุดท้ายของวิหารมีผนังก่ออิฐฉาบปูนทึบสามด้าน หลังคาสองชั้น เป็นแบบฉบับของลักษณะสถาปัตยกรรมภาคเหนือ

ฐานพระวิหารสูงจากพื้นดินหนึ่งฟุต เดิมคงสูงประมาณสามศอกเศษ แต่เนื่องจากมีน้ำหลากพาดินจากที่อื่นมาท่วมทับถมทุกปีเป็นเวลาพันกว่าปีมาแล้ว และเนื่องจากการขนทรายเข้าวัดตามประเพณีก่อพระเจดีย์ทราย จึงทำให้ฐานพระวิหารสูงหลือเพียงหนึ่งฟุต

โครงสร้างภายในทั้งหมด แต่งลายรูปต่าง ๆ มีการเขียนน้ำรักปิดทองบนพื้นสีแดง เสาพระวิหารประดับด้วยลายเขียนศิลปะแบบพื้นเมืองที่ เขียนด้วยรักปิดทอง

บ้านชาวบ้าน

บ้านไม้ยกใต้ถุนสูง มีการใช้ประโยชน์จากใต้ถุน มีลานดินโล่งหน้าบ้าน มักนิยมปลูกต้นไม้ จัดเป็นสวนเล็กๆไว้ตามทางขึ้นสู่ตัวบ้าน

นอกรอบ ตื่นเช้ามาด้วยเสียงร้องปลุกของตุ๊กแก หลังจากปิดปากเงียบมาทั้งคืน ตื่นเช้ามากินข้าวซอยชามแรกในชีวิต ถือเป็นการเริ่มต้นการตะลุยเมืองเหนือที่ดี ตกเย็นกลับโรงแรมมาผวาตุ๊กแกในห้องน้ำอีกครั้ง

วันที่3 >>> วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2553

วัดสุชาดาราม พระแก้วดอนเต้า อ.เมือง จ.ลำปาง

วัดสุชาดารามมีพระเจดีย์ใหญ่ทรงล้านนา มีมณฑปยอด ปราสาทแบบพม่าที่ประณีตงดงาม มีพระวิหารทรงล้านนาที่มีรูปทรงงดงาม มีลวดลายแกะสลักไม้ที่บานหน้าต่าง ข้างในมีจิตรกรรมฝาผนัง มีพระอุโบสถทรงล้านนาขนาดกะทัดรัด มีสัดส่วนสวยงาม

วัดพระแก้วดอนเต้าเจดีย์ มีเจดีย์ทรงลังกาสุโขทัยผสมล้านนา ฐานสูงต่อมุมลดชั้นสูงกว่าปกติ สัดส่วนของเจดีย์มีลักษณะมั่นคงแข็งแรง และยังมีมณฑปปราสาทพม่า อยู่ทางทิศใต้ขององค์เจดีย์ เป็นมณฑปหลังคายอดศิลปะพม่า ประดับลวดลายไม้ และแผ่นแกะสลัก ภายในมณฑปเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง และประดับกระจกสีมีความวิจิตรสวยงามมาก

โดยแต่เดิมวัดพระแก้วดอนเต้ากับวัดสุชาดารามเป็นคนละวัด แต่ตั้งอยู่ติดกัน ต่อมาภายหลังได้รวมเป็นวัดเดียวกัน

วัดข่วงกอม อ.แจ้ซ้อง จ.ลำปาง

วัดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี สร้างโดยครูบาศรีวิชัย เดิมมีสภาพทรุดโทรม จึงเกิดการร่วมแรงร่วมใจระหว่างชาวบ้าน ช่างฝีมือท้องถิ่นและสถาปนิก คือ ดร.วทัญญู ณ ถลาง โดยออกแบบวัดข่วงกอมใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่โบสถ์ ศาลาราย หมู่กุฏิ ซุ้มประตูโขงและภูมิทัศน์แวดล้อม โดยยังคงเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมล้านนาเดิมของท้องถิ่น ก่อสร้างด้วยวัสดุพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่นนำมาประยุกต์กับเทคโนโลยีสมัยใหม่

อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อง อ.แจ้ซ้อง จ.ลำปาง
จุดเด่นของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน คือ น่ำตกแจ้ซ้องและน้ำพุร้อน เป็นน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ประกอบด้วยบ่อเล็กบ่อน้อยถึง 9 บ่อ อยู่ในพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ มีอุณหภูมิ โดยเฉลี่ยประมาณ 73 องศาเซลเซียส

นอกรอบ วันนี้ได้เที่ยวหลายที่ได้กินข้าวเหนียวหมูทอดอร่อยๆได้ไปลุยท้องนา ลุยลำธารได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ได้ไปน้ำพุร้อน ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาเที่ยวน้ำพุร้อน ..มันร้อนได้ใจจริง

บ้านชาวบ้าน

บ้านปลูกสร้างด้วยไม้ยกใต้ถุนสูงไม่มาก มีการมุงหลังคาด้วยสังกะสีและกระเบื้องดินเผา ปลูกบ้านใกล้ท้องนา และมีการปลูกต้นไม้ใหญ่โดยรอบตัวบ้าน


วันที่4 >>> วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2553

สถานที่ จ.ลำปาง และ จ.อุตรดิตถ์

วัดปงสนุก อ.เมือง จ.ลำปาง


สิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากวัดทั่วๆ ไป ของวัดปงสนุก มีการสร้างวัดบนเนิน ซึ่งเป็นเนินเขาพระสุเมรุจำลอง อันเป็นที่ตั้งของวิหารพระเจ้าพันองค์ สร้างด้วยไม้ในลักษณะมณฑปหลังคาซ้อนสามชั้น บนสันหลังคาเหนือมุขทั้งสี่สร้างปราสาทไม้จำลองขนาดเล็กหุ้มด้วยสังกะสีฉลุลาย สื่อความหมายถึงทวีปทั้งสี่รอบเขาพระสุเมรุ ลักษณะตัวอาคารผสมผสานระหว่างศิลปกรรมล้านนา พม่าและจีน ห้องกลางวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์หันพระพักตร์ออกสี่ทิศประทับนั่งใต้โพธิ์พฤกษ์ทำด้วยตะกั่ว

ด้านล่างของฐานชุกชีประดับลวดลายรูปสัตว์ต่างๆ วิหารหลังนี้สร้างโดยช่างเชียงแสน เลียนแบบหอคำเมืองเชียงเกี๋ยงในสิบสองปันนาประเทศจีน ซึ่งไม่หลงเหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน

วัดศรีรองเมือง อ.เมือง จ.ลำปาง

วัดศรีรองเมือง เป็นวัดที่มีความสำคัญทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น มีรูปลักษณ์การก่อสร้างในรูปแบบของพม่าที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2448 ในสมัยที่ลำปางเป็นศูนย์กลางการค้าขาย การทำป่าไม้ ให้ฝรั่งชาติอังกฤษ ที่ได้สัมปทานการทำไม้จากรัฐบาลตัววิหารสร้างด้วยไม้สัก หลังคาจั่วซ้อนกันเป็นซุ้มเรือนยอด เป็นกลุ่มของชั้นหลังคา สวยงามตามแบบศิลปะพม่า มีลายฉลุบนสังกะสี ใช้ประดับบนจั่ว และเชิงชายหลังคา เพิ่มความอ่อนช้อย และสง่างามให้วิหาร เสาไม้ตกแต่งด้วยศิลปะการปั้นรักเป็นลวดลายเครือดอกไม้ ประดับด้วยกระจกสี เฉพาะเสาหน้าพระประธาน จะปั้นรักเป็นรูปเทพารักษ์ คน ยักษ์ วานรและสัตว์ป่าให้เหมือนในป่าหินมพานต์

บ้านชาวบ้าน

บ้านมีการยกใต้ถุนสูง และมีการใช้ประโยชน์จากใต้ถุน มีลานดินโล่งด้านหน้าบ้าน มีการใช้โครงสร้างผสมทั้งเสาที่เป็นปูนและเสาที่เป็นไม้ หลังคามีการมุงด้วยตับจากและสังกะสี มีการปลูกพืชผักสวนครัวโดยรอบตัวบ้าน

นอกรอบ วันนนี้เป็นวันย้ายโรงแรมจากนอนที่ลำปางไปนอนที่สุโขทัย แต่ชีวิตนี้ก็ยังหนีไม่พ้นตุ๊กแก แต่ก็ยังดีที่มันร้องอยู่นอกห้องไม่เหมือนกับโรงแรมเก่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าภาคเหนือตุ๊กแกเยอะ หรือดวงเราสมพงกับตุ๊กแก

วันที่5 >>> วันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2553

สถานที่ จ.สุโขทัย

อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

พื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีอำนาจอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่างของไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร

สรีตภงค์

เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยจะมีการทำทำนบกั้นน้ำเข้าตัวเมือง มีการต่อท่อดินเผาต่อน้ำจากสรีตภงค์มาใส่ในตระพังเก็บน้ำ

วัดมังกร

มีการใช้กระเบี้องเซรามิกในการประดับดกแต่งโบสถ์ ใช้หินศิลาแลงในการก่อสร้าง มีเจดีย์ทรงสุโขทัยรวมกับลังกา มีใบเสมา 2 อัน เป็นวัดปฏิบัติธรรมเนื่องจากตั้งอยู่นอกเมือง

วัดมหาธาตุ และเนินปราสาท

ประกอบด้วย พระวิหารหลวง มีเจดีย์ทรงสุโขทัย ปลายยอดเจดีย์เรียกพุ่มข้างบิณฑ์ เจดีตรงส่วนมุมและส่งนกลางจะมี 2แบบ คือเจดีย์ทรงสุโขทัยและ เจดีย์ทรงลังกา

วัดพระพายหลวง

แต่เดิมเป็นชุมชนมาก่อน มีการสร้างด้ายศิลาแลง มีการสร้างตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากวัดมหาธาตุ เพราะมีรูปแบบศิลปกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของสุโขทัย และมีการสร้างเพิ่มเติมในสมัยสุโขทัยตอนปลาย ผังบริเวณวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ชั้น มีปรางค์ศิลาแลง 3 องค์เป็นประธานของวัด หน้าบันประดับลายปูนปั้นเป็นศิลปะสมัยสุโขทัยตอนต้น สันนิษฐานว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นศิลปะขอมสมัยบายน (รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) บริเวณหน้าปรางค์มีวิหารที่เหลือเพียงเสาใหญ่ศิลาแลง ถาวรวัตถุที่สร้างเสริมต่อขยายออกไปทางด้านหน้าของพระปรางค์สามองค์ และมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยาบท ได้แก่ นั่ง ยืน เดิน และนอน

วัดศรีชุม

วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ซึ่งมีนามว่า "พระอจนะ"

วัดศรีชุม เป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนอกกำแพงเมืองเมืองสุโขทัย ในวัดปรากฏโบราณสถานขนาดใหญ่ลักษณะมณฑปรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่เต็มมณฑป ตัวมณฑปนั้นตั้งอยู่บนฐานสูง ด้านหน้าเปิดเป็นช่องเห็นพระพักตร์พระพุทธ

วัดศรีสวาย

วัดศรีสวาย ตั้งอยู่ห่างออกไปทางตอนใต้ของวัดมหาธาตุ เป็นโบราณสถานสำคัญที่ตั้งอยู่ในกำแพงแก้ว ประกอบด้วยปรางค์ 3 องค์ รูปแบบศิลปะลพบุรี ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียว ตั้งอยู่บนฐานเตี้ย ๆ ลวดลายปูนปั้นบางส่วนเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์หยวน มีการพบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์ที่แสดงให้เห็นว่าเคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อน แล้วแปลงเป็นพุทธสถานโดยต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้า แล้วเป็นวัดในพุทธศาสนาภายหลัง

วัดศรีสวาย เดิมเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ลักษณะเป็นปรางค์สามยอดแบบขอม มีคูน้ำล้อมรอบปรางค์สามองค์ โบราณสถานดังกล่าวนี้มีที่มาจากทรงปราสาทแบบขอม แต่ได้รับการดัดแปลง ปรางค์วัดศรีสวายจึงแตกต่างจากปรางค์สมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีต้นแบบจาก ปรางค์ในศิลปะขอมและคล้ายคลึงแบบขอมมากกว่าปรางค์ในแบบของช่างสุโขทัย

บ้านชาวบ้าน

บ้านเป็นบ้านปลูกสร้างด้วยไม้ มีการบุฝาผนังด้วยไม้ไม่ก้อเป็นสังกะสี มีการมุงหลังคาด้วยสังกะสี และตับจาก บ้านยกใต้ถุนสูงมีการสร้างระนาบนอนในตัวบ้าน มีลานดินหน้าบ้าน รั้วของตัวบ้านมักเป็นรั้วไม้ไผ่ และอาจมีการปลูกพืชผักสวนครัว และไม้เลื้อยไว้ตามรั้วบ้าน

นอกรอบ วันนี้เป็นว้นที่ชอบอีกวันหนึ่งเพราะได้มาเที่ยวโบราณสถาน เป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวสุโขทัย ได้รู้เกล็ดความรู้ต่างๆ รู้สึกชอบมากที่สุดในบรรดาทุกๆที่


วันที่6 >>> วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2553

สถานที่ อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์

วัดดอนสัก อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์

วัดดอนสักมีความล้ายกับวัดโปงยางคกและมีบานประตู สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลวดลายสวยงาม ติดตั้งเป็นบานประตูสำหรับวิหารวัดดอนสักที่มีสถาปัตยกรรมเชียงแสนปนสุโขทัย

ตัวเสาประตูเป็นลายกนกใบเทศสลับลายกนกก้ามปู บานประตูเป็นไม้แกะสลักทั้งบาน รูปลายกนกก้านขด มีรูปสัตว์หิมพานต์แทรกอยู่ในลวดลายกนกต่าง ๆ มีความอ่อนช้อยสวยงาม โดยบานซ้ายและขวานั้นไม่เหมือนกัน แต่เมื่อปิดบานแล้วลวดลายมีความลงตัวเข้ากันได้สนิท

บ้านชาวบ้าน

บ้านมีการปลูกแทรกตามส่วนผลไม้ มีการปลูกต้นไม้ บ้างก็เป็นป่ารกขนาบทางเดิน นำสายตาเข้าสู่ตัวบ้าน บ้านมีการยกใต้ถุนสูงหนีน้ำ ส่วนหน้าบ้านมีลานดินกวาดเรียบเกลี้ยงใช้ทำกิจกรรมต่างๆและเพื่อป้องกันสัตว์ร้าย มีการปลูกสวนผลไม้หลากหลายชนิดรวมในสวนเดียวกัน เรียกว่า สวนสมรม เนื่องจากดินมีความอุดมสมบูรณ์

นอกรอบ วันนี้เป็นอีกวันที่ฝนตก เปียกปอนกันทั้งวัน แสงในการถ่ายรูปไม่ค่อยจะมี และยังต้องระวังไม่ให้กล้องโดนน้ำ แต่ก็ได้ไปเที่ยวบ้านชาวบ้านได้กินอะไรแปลกๆ ถึงจะเปียกๆแต่ก็สนุกดี

วันที่7 >>> วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2553

สถานที่ อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย

วัดเชลียง

เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ โดยวัดนี้เป็นวัดสำคัญในเขตเมืองเชลียงมาแต่เดิม ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัย ตรงช่วงแหลมโค้งข้อศอกของแม่น้ำยม หันหน้าวัดไปทางทิศตะวันออก และตั้งอยู่นอกกำแพงด้านใต้ของเมืองศรีสัชนาลัย

พระปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลงฉาบแล้วลงสีชาดทับ ลักษณะภายนอกเป็นปรางค์แบบอยุธยา ฐานรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ฐานเขียงขั้นแรกย่อมุมไม้สิบสอง ฐานล่างสุดก่อผนังแบบทึบ เจาะช่องแสงกันอยู่ด้านในสามชั้น (วิหารคด) เรือนธาตุทางด้านหน้าทำเป็นซุ้มโถง มีบันไดขึ้นไปสู่ซุ้มทางด้านหลังพระวิหาร ภายในซุ้มโถงมีสถูปขนาดเล็กรูปดอกบัวตูมประดิษฐานอยู่ อาจเป็นที่บรรจุพระธาตุ ฃ ส่วนบริเวณเรือนธาตุทางด้านหลัง ทำเป็นบันไดขึ้นสู่องค์ปรางค์เช่นเดียวกัน แต่เป็นประตูหลอก ฐานชั้นล่างสุดมีพระสาวกเดินประณมมือประทักษิณ

พระวิหาร ก่อด้วยศิลาแลง ฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นวิหารขนาดหกห้อง มีมุขยื่นออกมาทางด้านหน้า ผนังวิหารเป็นแบบผนังทึบเจาะช่องแสง พระประธานเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ขนาบด้วยพระพุทธรูปยืนขนาดเล็กทั้งขวาและซ้าย

วัดนางพญา


วัดมีเจดีย์ทรงลังกาประกอบซุ้มเรือนธาตุเป็นประธาน ก่อด้วยศิลาแลงสูงใหญ่ และมีสภาพสมบูรณ์รอบฐานเจดีย์ มีเสาโคมไฟโดยตลอด มีบันไดขึ้นไปบนเจดีย์ และมีวิหารซึ่งขนาดเจ็ดห้อง ซึ่งเป็นผังที่นิยมสร้างกันในแบบสุโขทัยและสถาปัตยกรรมเมืองเหนือ ภายในวิหารตามเสาทุกด้านมีเทพพนมและลวดลายต่างๆ ทำด้วยสังคโลกไม่เคลือบจุดเด่นของวัดนี้คือมีผนังเหลืออยู่ด้านหนึ่งโดยมีลวดลายปูนปั้นผนังดังกล่าวเป็นผนังที่ไม่มีหน้าต่าง แต่มีช่องอากาศตามแบบสุโขทัยและอยุธยาตอนต้น ลวดลายปูนปั้นบนผนังวิหารวัดนางพญาเป็นประติมากรรมสุโขทัยยุคที่ 3 จากทั้งสิ้น 4 ยุค ซึ่งรูปแบบการปั้นในสมัยสุโขทัยยุคที่ 3 นี้เป็นการปั้นที่พัฒนาไปจากศิลปะสุโขทัยแบบบริสุทธิ์ มีความประณีต ประติมากรรมปูนปั้นประดับพุทธสถานเป็นภาพแบบอุดมคติ เพิ่งพัฒนารูปแบบตนเองให้หลุดพ้นไปจากธรรมชาติ

วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่

ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองมีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเจดีย์เจ็ดแถว โบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ประธานทรงลังกาตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส ก่อด้วยศิลาแลง องค์ระฆังได้พังทลายลง ด้านหน้ามีบันไดขึ้นไปจากมุขหลังของวิหารไปถึงเรือนธาตุเพื่อสักการะพระพุทธรูป ด้านเจดีย์ประธานมีวิหาร มีมุขด้านหน้า และด้านหลัง มีบันไดขึ้น 5 ทาง เสาวิหาร และกำแพงวัดก่อด้วยศิลาแลง

วัดเจดีย์เจ็ดแถว

ตัววัดตั้งอยู่ด้านหน้าวัดช้างล้อม หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ วัดนี้ มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพราะมีเจดีย์แบบต่างๆ กันมากมาย เช่น เจดีย์ประธานรูปดอกบัวตูมด้านหลังพระวิหารซึ่งเป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ เจดีย์ราย 26 องเจดีย์รายที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวมีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลศิลปะจากที่ต่าง ๆหลายแห่ง เช่น ลังกา และพุกามด้านหลังเจดีย์ประธานมีเจดีย์รายที่มีลักษณะเด่น คือฐานเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมจัตุรัส ยอดเป็นทรงกลม ภายในเจดีย์มีซุ้มโถงส่วนซุ้มโถงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปูนปั้นมีภาพจิตรกรรมเป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า และเหล่าเทวดากษัตริย์ เจดีย์รายที่มีลักษณะเด่นองค์อีกหนึ่งเรียกว่า เจดีย์ทรงปราสาท คือซุ้มจรนัมด้านหลังของเรือนธาตุ ทำเป็นซุ้มมณฑปมีเรือนยอดข้างบนสูงเป็นซุ้มทางทิศตะวันตกมีพระพุทธรูปปางนาคปรกประดิษฐานอยู่ เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกสมัยสุโขทัยที่สวยงามยิ่ง รวมทั้งหมดแล้ววัดเจดีย์เจ็ดแถวมีเจดีย์รายและอาคารขนาดเล็กแบบต่างๆ กันถึงเกินกว่า 30 องค์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ภายนอกกำแพงมีโบสถ์และบ่อน้ำ ซึ่งเดิมมีคูน้ำล้อมรอบ

วัดช้างล้อม

เป็นเจดีย์ทรงลังกาที่ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีช้างปูนปั้นเต็มตัวล้อมรอบ รวม 39 เชือก โดยมีซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ ประตูด้านหน้าและประตูด้านหลังเป็นทางเข้าออกก่อเป็นกำแพงศิลาแลงหนามีการเล่นระดับที่ซุ้มประตู สำหรับประตูด้านข้างก่อเรียงอิฐศิลาแลงปิดไว้เป็นประตูตัน มีทางเดินเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นบน ระหว่างช้างปูนปั้นที่ฐานนั้นจะมีเสาประทีปศิลาแลงสลับเป็นระยะ ด้านหน้าช้างแต่ละเชือกจะมีพุ่มดอกบัวตูมปูนปั้นวางตั้งอยู่ เจดีย์ประธานมีบันได 2 ชั้นขึ้นสู่ลานประทักษิณ เหนือฐานประทักษิณมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 20 ซุ้ม

วัดเขาพนมเพลิง

เป็นโบราณสถานที่ ตั้งอยู่บนเขาพนมเพลิง สูงประมาณ 25 เมตร ใกล้กำแพงเมือง ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ทางขึ้นวัดมีสองทาง คือ ทางด้านหน้าวัด และข้างวัดซึ่งทำเป็นบันไดศิลาแลง โบราณสถานที่อยู่บนเนินเขานี้ประกอบด้วย เจดีย์ประธานทรงลังกา ก่อด้วยศิลา และมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนด้านหลังเจดีย์ประธานเมีเจดีย์ราย 3 องค์ และมีทางเดินลงมายังลานกว้างซึ่งมีมณฑปก่อด้วยศิลาแลง ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสยกพื้นสูง หลังคาโค้งแหลมขนาดใหญ่พอสมควร

วัดเขาสุวรรณคีรี

ตั้งอยู่บนเนินเขาอีกยอดหนึ่งในเทือกเขาเดียวกันกับวัดเขาพนมเพลิงโดยอยู่ทางทิศตะวันตก วัดเขาสุวรรณคีรีมีกลุ่มโบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงระฆังขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง ฐานของเจดีย์ทำสูงขึ้นไปถึง 5 ชั้นและยังมีความสมบูรณ์ค่อนข้างมากเมื่อขึ้นเป็นยังชั้นสูงสุดของฐานเจดีย์ประธานมองไปด้านหลัง สามารถเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยได้ สำหรับลานชั้นต่างๆ ของเจดีย์ประธานมีขนาดกว้างขวางพอสมควรสันนิษฐานว่าใช้สำหรับเป็นลานประทักษิณ โดยมีซุ้มพระทั้ง 4 ด้าน ตรงก้านฉัตรมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางลีลารอบก้านฉัตรเช่นเดียวกับวัดช้างล้อม ด้านหน้าเจดีย์ เป็นวิหารขนาด 7 ห้อง ฐานวิหารและเจดีย์รายก่อด้วยศิลาแลง สำหรับด้านหลังเจดีย์ประธานมีเจดีย์ขนาดปานกลางรูปร่างทรงกลมล้อมรอบด้วยแนวศิลาแลง ตรงกำแพงแก้วชั้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีรูปยักษ์ปูนปั้นขนาดใหญ่และรูปสัตว์


นอกรอบ วันนี้ได้มาเที่ยวโบราณสถานอีกแล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่สนุก ได้ไปเดินขึ้นเขาไปดูนก ดูวัดต่างๆ ได้ไปเจอวัดสวยๆ ถ้าสุโขทัยไม่โดนปล่อยทิ้งร้างในอดีต ปัจจุบันต้องมีความสวยงามเป็นแน่

วันที่8 >>> วันเสาร์ที่ 31รกฎาคม 2553

อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย

เป็นชุมชนบ้านคนแต่โบราณ มีการสร้างบ้านเป็นห้องแถวไม้สำหรับค้าขาย บางหลังมีการปลูกยื่นลงไปในแม่น้ำลำคลอง ซึ่งในสมัยก่อนมีการขายข้าวทางน้ำ มีการขนส่งด้วยเรือกลไฟ

สนามบินสุโขทัย

เป็นของบริษัท Bangkok Airway มีการนำสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยมาปรับใช้กับอาคารสาธารณะในปัจจุบัน อาคารมีการเปิดโล่งตามศิลปะสุโขทัยโบราณ เพื่อความกลมกลืนและสอดคล้องกับวัฒนธรรมของจังหวัดสุโขทัย และเพื่อต้องการให้นักท่องเที่ยวเห็นถึงความโดดเด่นของความเป็นไทย มีการมุงหลังคาโดยใช้กระเบื้องดินเผา มีการโชว์โครงสร้างหลังคาโดยตัวอาคารสามารถรองรับผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกอาคารละ 150 คน นอกจากนั้น ภายในโครงการ ยังมีการทำการเกษตรเลี้ยงปศุสัตว์ เพื่อแสดงถึงวิถีชีวิตแบบไทยแก่นักท่องเที่ยว และมีการนำผลผลิตที่ได้นำมาใช้ในโครงการอีกด้วย

นอกรอบ วันนี้เป็นวันที่ได้ไปเที่ยวบ้านอ.ตี๋ ได้กินอาหารอร่อยหลายๆอย่าง ที่คุณลุงคุณป้าอาจารย์ทำมาเลี้ยงพวกหนู ขอขอบพระคุณมากค่ะ ได้ไปดูสนามบินสวยๆ คิดไว้เล่นว่าจะนำเอาแนวความคิดมาใช้กับสถานนีขนส่งบ้าง และยังได้ไปดูโรงแรมหรูๆของสนามบิน อีกด้วย

วันที่9 >>> วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม 2553

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออก จังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีสถาปัตยกรรมที่เป็นแบบสุโขทัย ประกอบด้วย องค์พระปรางค์ตั้งอยู่ ณ ศูนย์กลางของวัด เป็นพระปรางค์ประธาน รูปแบบของพระปรางค์ เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูม โดยสร้างครอบพระสถูปเจดีย์ที่สร้างในรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถม เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นไป ครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ได้โปรดให้บูรณะพระปรางค์โดยดัดแปลงพระเจดีย์ ได้ให้เป็นรูปแบบพระปรางค์แบบขอมตามพระราชนิยมในสมัย

สุดท้ายนี้การไปทริปเก้าวันครั้งนี้ได้ประสบการณ์อะไรต่างๆมากมาย การรู้จักใช้ชีวิตในการอยู่ร่วมกันกับคนและธรรมชาติ ได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ ได้กินอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยกิน ได้รู้ในส่ิ่งต่างๆที่ยังไม่ สามารถมองความงามที่อยู่ในสิ่งต่างๆรอบตัวได้ชัดเจนขึ้น และการไปทริปครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนได้รู้ว่า ตนเองชอบไปเที่ยว สถานที่ที่เป็นโบราณสถาน ชอบรู้เรื่องราวเรื่องเล่า ความเป็นมาในซากอิฐซากปูน ความเชื่อมโยงกับอดีตกับปัจจุบันและอนาคต สุดท้ายขอขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่ได้พาผู้เขียนไปในที่ต่างๆ ได้ให้ความรู้ผู้เขียนในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะท่านอาจารย์ปู่จิ๋ว ถึงแม้อาจารย์จะมีอายุมากแล้ว แต่อาจารย์ก็ยังสละเวลามาให้ความรู้ มาลำบากกับพวกเรา มาสอนในทุกๆเรื่องให้แก่เราตั้งแต่ปีหนึี่งมาจนถึงปีห้า ขอบพระคุณมากค่ะ