ผู้ให้สัมภาษณ์ : พี่พงศ์ภพ นาราพานิช
พี่พงศ์ภพ นาราพานิช เป็นรุ่นพี่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง เข้าเรียนในรหัสนักศึกษา 36 หรือในปีพ.ศ.2536 และสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.2540
สถานที่สัมภาษณ์ : ออฟฟิตสถาปนิก idin architect
ผู้สัมภาษณ์ : สวัสดีค่ะพี่ อยาทราบว่าทำไมพี่ถึงเลือกเรียนสายนี้และประกอบวิชาชีพในสายนี้ค่ะ
พี่พงศ์ภพ : จริงๆแล้วต้องยกเครดิตให้พี่ชายของเพื่อนสนิทพี่ ชื่อพี่ชิน (ชินวัตร อิศรางกูร ณ อยุธยา) ซึ่งตอนนั้นเทห์มาก เวลาพี่ไปหาเพื่อน พี่ก็จะเจอพี่ชินนั่งทำงานอยู่ พี่ชินลุคจะเท่ห์มาก ไว้ผมยาว ก็เลยไปถามว่า พี่ชินเรียนคณะอะไร ก็เลยทราบว่าเรียนอยู่ที่คณะสถาปัตย์ ที่ลาดกระบัง ตอนแรกก็อยากก็เรียนเพราะความเท่ห์ เพื่อนสนิทพี่ก็เลยพาไปติว ติววาดรูปอยู่ที่ ม.ศิลปากร สุดท้ายพอม.6 ก็เลยมาติวกับพี่สถาปัตย์เพื่อนพี่ชิน ที่ลาดกระบัง และอีกเหตุผลหนึ่งที่พี่อยากเรียน คือ สมัยนั้นที่พี่เรียน ร.ด.นั่งรถกลับบ้านผ่านคณะสถาปัตย์ที่จุฬา มองเข้าไปเห็นเค้าสนุกสนานกัน เล่นสเก็ตบอร์ด ตีกลอง ร้องเพลง ดูว่างๆกัน ก็เลยคิดว่าน่าเรียนดี ซึ่งในตอนนั้นพี่วาดรูปไม่เป็นเลย คือต้องใช้พรแสวงอย่างเต็มที่ ส่วนมากทุกอย่างก็จะเกิดจากความพยายาม
ผู้สัมภาษณ์ : ค่ะ แล้วงานที่พี่ทำตอนนี้เกี่ยวของกับอะไรบ้างค่ะ
พี่พงศ์ภพ : ตามจริงต้องขอท้าวความไปตอนพี่จบมาก่อน ตอนพี่จบมาก็ทำงานอยู่ปีนึงแล้วจึงไปเปิดออฟฟิตเล็กๆกับรุ่นน้องได้อีกประมาณซักปีกว่าๆ แล้วก็ไปเรียนต่อด้าน interior environment ที่สหรัฐอเมริกา ก็คือทั้งไปเรียนไปใช้ชีวิตด้วยอยู่ 5 ปี กลับมาก็ได้เปิดเป็นสตูดิโอเล็กๆแต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท เมื่อเจองานใหญ่ๆก็จะฟอร์มทีมกันทำงาน งานประเภทที่ทำก็จะเป็นงานออกแบบทางด้าน สถาปัตยกรรม งานinterior งานProduct และงาน graphic ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานออกแบบ เพราะตอนที่พี่ไปทำงานอยู่ที่อเมริกา เราได้ถูกเปิดโลกทัศน์และวิสัยทัศน์ ว่างานออกแบบมันไม่ได้จำกัดอยู่ที่งานด้านสถาปัตยกรรมหรืองานตกแต่งภายใน
พี่ขอแนะนำว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นสถาปนิก แต่เราก็ควรสนใจงานศิลปะหรืองานออกแบบทุกๆงาน มันจะทำให้เรามีฐานและมีข้อมูลที่ใช้ในการทำงานได้ดี
สตูดิโอที่พี่ทำ ก็ทำได้ประมาณ 3-4 ปี มันก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ลุ่มๆดอนๆก็เลยมารวมกับออฟฟิตไอดิน ของพี่เป้ คือมีเป้าหมายที่เหมือนกัน มีจริตที่เหมือนกัน มีความฝันที่เหมือนกัน เรียกว่าเราเข้ามาช่วยกัน อะไรที่เป็นจุดอ่อนเราก็จะอุด อะไรที่เป็นจุดแข็งเราก็จะช่วยกันพัฒนา ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาชีพโดยตรง จะเป็นเรื่องของการสะสมประสบการณ์ เมื่อเราเห็นมากเราก็จะรู้ว่าอะไรที่เหมาะสมจบโจทย์นั้นๆ ซึ่งมันจะเป็นส่วนเติมเต็มของการทำงาน
และงานอีกอย่างหนึ่งที่พี่ทำก็คือการสอนหนังสือ คือ พี่เป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสืออยู่ที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรมที่ ม.ธรรมศาสตร์ และ คณะศิลปกรรมศาสตร์ที่ ม.กรุงเทพ
มุมมองในงานสถาปัตยกรรมของพี่จะเกี่ยวกับเรื่องของ space ซึ่งสิ่งนี้ต้องยกเครดิตให้กับอาจารย์ฝรั่ง ที่พี่ไปเรียนมา ซึ่งการออกแบบไม่จำกัดแค่การออกแบบสถาปัตยกรรมหรือการตกแต่งภายใน แต่จะเกี่ยวข้องถึงการสร้างความสัมพันธ์กับตัว space ตั้งแต่ภายในไปจนถึงงานภูมิสภาปัตย์ เวลาที่พี่ไปสอนเด็ก ก็จะสอนให้มองงานที่เกิดขึ้นจาก space แล้วค่อยขยายไปเป็นงานสถาปัตยกรรม
ผู้สัมภาษณ์ : ค่ะ พี่มีข้อคิดในการทำงานอยู่ไรบ้างค่ะ
พี่พงศ์ภพ : จริงๆ หลายครั้งที่ถูกถามคำถามนี้ พี่ใช้คำเดียว แต่สองพยางค์ คือ ตั้งใจ แค่นั่นเอง
ผู้สัมภาษณ์ : พี่คิดว่าข้อดีของการที่เราประกอบอาชีพนี้ แตกต่างจากอาชีพอื่นอย่างไรบ้างค่ะ
พี่พงศ์ภพ : พี่ว่าพี่มองใสแง่ของคน ว่าเราได้เจอคนเยอะได้เจอคนหลากหลาย คือเปรียบเทียบกันกับอาชีพอื่น แล้วไม่ได้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ถ้าเราสนุกกับงานเราก็จะได้เบื่อ ไม่รู้สึกจำเจ เพราะงานที่เราทำจะเปลี่ยนไปทุกวันตามโจทย์ ตามลูกค้า เราจะได้เจอคนหลากหลายแบบ เจอสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ถ้าเราอยู่กับมัน เราตั้งใจ แล้วเราจะมีความสุข
ผู้สัมภาษณ์ : พี่คิดว่าชีวิตการทำงานกับการเรียน เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้างค่ะ
พี่พงศ์ภพ : พี่ว่ามันแตกต่างกันนะ คือตอนเรียนเราปล่อยความคิดได้เต็มที่ แต่พี่อาจโทษในเรื่องระบบการศึกษาว่า ถ้าเราเจอครูที่ไม่เปิดใจ สิ่งที่เราปล่อยไปมันจะถูกจำกัด พี่อาจพูดได้ว่าเคยผ่านจุดนั้นมา เพราะฉะนั้น พี่จะไม่ทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการจำกัดความคิด ของคนที่เป็นลูกศิษย์ แต่ถ้าเป็นในชีวิตจริงของการทำงาน มันจะตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริง มันก็จะมีโจทย์และปัจจัยหลายๆอย่าง ที่บังคับเรามากขึ้น ดังนั้นตอนที่เรากำลังเรียน ขอให้ปล่อยความคิดให้มันเต็มที่ อยากทำอะไร ทำ พยายามสู้กับอาจารย์เค้าหน่อย สู้โดยการใช้เหตุผลกับข้อมูล และความตั้งใจในงานออกแบบที่จะแสดงให้เค้าดู
ผู้สัมภาษณ์ : พี่มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างค่ะ กับจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ
พี่พงศ์ภพ : พี่ขอพูดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลย อะไรที่เรียกว่า มันเป็นระเบียบปฏิบัติ กฏที่อยู่ในจรรยาบรรณ คืออยากให้พวกเราเดินตาม อะไรทีมันไม่เหมาะสม ไม่ควรก็อย่าไปทำ และพูดได้เลยว่าสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพนั้นพี่ไม่เคยทำ ขอให้ทำให้มันเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ และจรรยาบรรณวิชาชีพจะดีกว่า
ผู้สัมภาษณ์ : พี่คิดว่าแนวทางของการประกอบวิชาชีพของพวกเราในอนาคตเป็นอย่างไรบ้างค่ะ
พี่พงศ์ภพ : พี่อยากให้คนที่มีความสามารถและมีความคิดตรงกัน อยู่ด้วยกันดีกว่า ไม่ใช่ว่าคนที่มีความสามารถแล้วคิดออกไปแยกตัวอยู่คนเดียว พี่ว่าตรงนั่นมันจะทำให้เกิดการแตกกระจายของความสามารถในวิชาชีพ และนั้นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พี่มารวมกับพี่เป้ เป็นเพื่อนสนิทกันมา ผ่านยุคที่ใกล้เคียงกันอย่างเดียวกัน จึงมารวมอยู่ด้วยกันเป็นทีมเดียวกัน คือในอนาคต ถ้าพี่มองนะ พี่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบว่า เก่งแล้วจะชอบอยู่เดี่ยวจะเยอะ เหมือนกับจอมยุทธ์ แต่จอมยุทธ์สมัยก่อนจะน้อย แต่สมัยนี้มันมีเยอะ ทำไมไม่มารวมอยู่เป็นตำหนัก แล้วมันจะช่วยยกระดับคุณภาพวิชาชีพของการออกแบบได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผู้สัมภาษณ์ : สุดท้ายนี้ พี่มีขอเสนอแนะอะไร แนะนำกับสถาปนิกจบใหม่บ้างค่ะ
พี่พงศ์ภพ : ต้องอดทน ปัญหาที่ทุกคนมอง รุ่นพี่มอง หรือรุ่นใหญ่กว่าพี่เค้ามอง จะมองในเรื่องของความอดทน พี่ขอยกคำพูดของพี่ด้วง ดวงฤทธิ์ บุญนาค เค้าบอกว่า เด็กรุ่นเรามันเป็นเด็กยุคซีดี แต่เด็กรุ่นพี่หรือรุ่นใหญ่กว่าพี่เป็นเด็กยุคเทปคลาสเซ็ส กว่าจะได้ฟังแต่ละเพลงก็ต้องกรอ กรอเกินก็ไม่ได้ฟัง ไม่อยากกลอกลัวเทปยืด ก็ต้องนั่งฟังจนถึงเพลงที่ตัวเองอยากจะฟัง แต่รุ่นของเรานั้นสบาย ถ้าเราอยากฟังเพลงที่5 ก็กดฟังเพลงที่5 ได้เลยสบายๆ ไม่ต้องรอนาน และนี่คือสิ่งที่เค้าเปรียบเทียบรุ่นเราเอาไว้ เพราฉะนั้น เราควรมีความอดทน ต้องอดทนให้มากๆ สมมุติว่าเข้าไปสมัครงานที่ไหน อย่างน้อยสิบสองเดือนอยู่ให้ถึง ไม่ใช่ว่าสามสี่เดือนก็ไปแล้ว หนักเอาเบาสู้ ไม่ทำอะไรเล่นๆ ถ้าพูดถึงเรื่องของธรรมะ มันเป็นเรื่องของหลักธรรมที่เรียกว่า อิทธิบาทสี่ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ) ซึ่งพี่ก็ขอฝากเรื่องของความอดทนไว้ ณ ที่นี้ละกัน
ผู้สัมภาษณ์ : ค่ะ ก็ขอขอบพระคุณ พี่พงศ์ภพ นาราพานิช มากๆเลยนะค่ะ สำหรับการให้สัมภาษณ์ ที่ได้ทั้งความรู้และแนวคิด แนวทางในการดำเนินชีวิต ขอขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ