
หากมีคนมาถามว่าทำไมถึงอยากจะเป็นสถาปนิก คำตอบนั้นคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก นั่นคือสิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันของเด็กคนหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 12 ปีก่อน เด็กน้อยชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถูกพ่อนำมาทิ้งให้วิ่งเล่นในห้องสมุดของที่ทำงานในช่วงปิดเทอม ในห้องสมุดของแบงค์ชาติที่มีแต่หนังสือเศรษฐกิจและการเมือง มีหนังสือน้อยเล่มนักที่เด็ก 10 ขวบจะอ่านรู้เรื่อง นอกจากหนังสือที่เป็นรูปภาพที่พอจะเปิดดูได้ หนึ่งในนั้นคือหนังสือบ้านและสวน เปิดดูไปเปิดดูมาอยู่ทุกวันชักชอบใจ จึงเก็บเอามาวาดรูปเล่น วาดเป็นห้องจัดเป็นบ้านตุ๊กตา และลองใส่เฟอร์นิเจอดู หนักเข้าหน่อยก็เอาตัวต่อเลโก้มาต่อเป็นบ้าน เป็นห้องใส่เฟอฯ ให้ตัวคนของเลโก้เข้าไปอยู่ ทำไปทำมาก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสุขดี นั่งต่อนั่งเล่นได้ทั้งวัน และด้วยความที่เป็นเด็กก็ถามพ่อว่า “ไอที่เค้าออกแบบบ้าน ตกแต่งห้อง แบบในหนังสือนั้นมันอาชีพอะไร” พ่อเลยตอบกลับมาว่ามันคือ สถาปนิก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เวลาคุณครูถามในห้องว่าใครอยากเป็นอะไร เด็กน้อยคนนั้นก็จะตอบกลับไปว่าอยากเป็นสถาปนิก และก็ตั้งอาชีพนี้เป็นอาชีพอันดับ 1 ในใจตลอดมา
เมื่อโตขึ้นมาหน่อย ด้วยความที่อยากเป็นสถาปนิกมาตั้งแต่เด็ก จึงเลือกเรียนแผนวิทย์-คณิต ด้วยระดับการเรียนที่ลุ่มๆดอนๆ จัดเรตติ้งได้อยู่ระดับเกือบท้ายตารางของห้อง (ประมาณว่าที่บ้านอย่าได้ไปโม้ก้บใครเลยว่าลูกเราได้เกรดเท่าไหร่) ซึ่งอาจเป็นเพราะการไม่สนใจเรียนในวิชา เคมี ชีวะ ด้วยตั้งแต่แรกแล้ว เพราะมีคนเคยบอกว่า เรียน สถาปัตย์ฯ ไม่ต้องใช้วิชาพวกนี้ ทำให้เกรดรวมออกมาไม่ค่อยดี ส่วนวิชาที่ชอบเรียนคือศิลปะ และจะชอบทุกครั้งที่เพื่อนนำงานมาให้ช่วยทำ ช่วยออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น โลโก้ ลายเสื้อ ป้ายกิจกรรม ปกสมุดหนังสือ ถึงแม้ว่างานพวกนี้จะเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ผู้เขียนคิดว่ามันน่าสนุกกว่าการนั่งเรียนวิชาเคมีดีแท้
เมื่อเวลาในรั้วมัธยมหมดลง ก็ถึงเวลาที่จะเลือกเปิดบานประตูเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย มันเป็นเวลาที่ผู้เขียนรอคอย มันเป็นสิ่งที่ทำให้ความฝันในวัยเด็กเป็นจริงขึ้นมาได้ เด็กน้อยภูธรในวันนั้นได้เลือก 4 อันดับในการสอบเข้าเป็นคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่อยู่ในกรุงเทพฯทั้งหมด ด้วยคะแนนความถนัดอันนิดหน่อยและคะแนนเอ็นฯอันจิ๊ดริดน่ารัก ที่พอจะมีอยู่บ้าง เพียงหวังเพื่อจะมาเสี่ยงดวงหมู่มาก กับเด็กกรุงเทพและเด็กจากทั่วประเทศ การสอบเอ็นฯก็เหมือนกับการเล่นหวย ไม่รู้ว่างวดนี้จะถูกหรือไม่ ต่างกันแค่สอบเอ็นมันเอาตัวเลขคะแนนเอ็นไปยื่น ผลที่ออกมาเป็นลำดับที่สอบติดไม่ใช่เงินและมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับว่าคุณกล้าที่จะเสี่ยงหรือเปล่า และผลการเสี่ยงในครั้งนี้ก็ไม่ทำให้ผู้เขียนผิดหวัง.....เด็กน้อยคนนั้นได้เข้าเรียนอย่างที่เคยฝันไว้
ชีวิตเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบังได้เริ่มขึ้น จากเด็กม.6 กลายเป็นเด็กปี1 จากที่เคยอยู่บ้านกลับต้องมาเป็นเด็กหอ จากเด็กภูธรมาเป็นเด็กเมืองกรุง ทุกสิ่งอย่างใหม่ไปหมดกับเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ทั้งเพื่อนใหม่ ประสบการณ์ใหม่ สถานที่ใหม่ พบเจอกับผู้คนมากมายทั้งแปลกหน้าและหน้าแปลก เปิดโลกนอกกะลาว่าเป็นอย่างไร ทำให้ผู้เขียนได้รู้ว่าในยุทธจักรแห่งนี้ไม่ได้มีเราเพียงคนเดียว ทุกคนมีความสามารถและเก่งๆกันทั้งนั้น
ชีวิตปี1 ถือเป็นปีแห่งการปรับ ปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกัน ปรับใจเพื่อเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ปรับกายให้กำยำ พร้อมรับคลื่นงานของอาจารย์ที่ซาซัดเข้ามา อย่างกับมรสุมพัดเข้าฝั่ง แต่มรสุมทุกลูกที่เข้ามา มันก็ยังแฝงข้อดีในตัวของมัน การทำงานทำให้เราได้รู้จักเพื่อนๆมากขึ้น ได้กินนอนร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองของแต่ละคนผ่านการพูดคุย รับฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น
มีคนเคยถามผู้เขียนว่า “สถาปัตย์เรียนหนักไหม”ผู้เขียนจึงตอบกลับไปว่า”เรียนในห้องไม่หนักหรอก ชิลๆสบายๆแถมแอบฮาในบางครั้ง แต่ที่หนักคงจะเป็นเรื่องของงานที่แวะเวียนกันมาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ได้นัดหมายกันซะมากกว่า” จำนวนงานยิ่งมากขึ้น มีเรื่องต่างๆให้ต้องคิด ต้องออกแบบมากขึ้น พร้อมกับจำนวนปีที่สูงขึ้นตาม หากเปรียบการทำงานในช่วงปี1เป็นพายุโซนร้อน การทำงานในช่วงปี2ก็คงเป็นพายุไต้ฝุ่น ที่พัดกระหน่ำจนตั้งตัวไม่ติดกันเลยทีเดียว และเพิ่งได้มีโอกาสหายใจหายคอกันก็ตอนปี3 ที่ถือเป็นช่วงอากาศดี ทะเลสงบ แม้จะมีเมฆปกคลุมบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนปี4 เมฆเริ่มก่อตัวเป็นพายุอีกระรอก แต่ก็ไม่หนักหนาเหมือนปี2 แล้วอาจเป็นเพราะประสบการณ์ในการใช้ชีวิตสูงขึ้นก็เป็นได้
การเรียนในปี 4ที่ผ่านมาคงจะสมบูรณ์ไม่ได้ถ้าขาดการฝึกงาน ผู้เขียนได้ไปฝึกงานกับ บริษัทไอดินบริษัทไม่เล็กไม่ใหญ่ แถวดินแดง ของพี่ๆชาวลาดกระบัง รวมพรรคพวกไปฝึกกันได้4คน การทำงานก็มีให้ทำทุกรูปแบบตั้งแต่ตัดโมเดล ขึ้นสเก็ตอัพ ไปจนเขียนแคด พี่ๆที่บริษัทได้พาไปดูไซน์งานทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ทั้งยังสอนหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของการทำงานในออฟฟิต เรื่องแนวคิดการออกแบบ แนวคิดการใช้ชีวิต รวมถึงการพาไปหาของกินอร่อยๆ และได้รู้จักการใช้อุปกรณ์ออฟฟิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟ็ก เครื่องสแกน เครื่องเจาะกระดาษแบบสันห่วง เครื่องดูดฝุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์การใช้อุปกรณ์แนวใหม่ให้แก่ตัวผู้เขียน
วันเวลาผ่านไป ชีวิตเด็กปี1 ฝ่าลมพายุต่างๆนานากลายมาเป็นพี่ปี5 การเล่าเรียนในคณะสถาปัตย์ฯดีขึ้นกว่าในตอนมัธยมมาก(ประมาณว่าที่บ้านเอาไปโม้กับพ.ท.ข้างเคียงได้บ้าง) อาจเป็นเพราะได้เรียนในสิ่งที่ตนเองรักและถนัด แต่ต้องยอมรับเลยว่าทัศนะคติในวิชาชีพนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากวัยเด็กมาก เพราะงานสถาปัตยกรรมไม่ใช่การต่อเลโก้ และไม่ใช่การวาดรูปเล่นเหมือนในวัยเด็ก อาชีพสถาปนิกไม่ใช่การมีหัวทางด้านศิลปะเพียงอย่างเดียว แต่สถาปนิกเป็นอาชีพของนักคิด คิดเพื่อจะได้สิ่งที่ดีกว่า เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบสูง เพราะการตัดสินใจของคุณมีผลชี้เป็นชี้ตายกับคนหมู่มาก ความสนุกสนานของอาชีพสถาปนิกในวัยเด็กเริ่มจางหายไปพร้อมกับความจริงของโลกที่ค่อยๆปรากฏขึ้น การโหมทำงานหนักๆบางครั้งก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกท้อแท้บ้าง รู้สึกว่าชีวิตวัยรุ่นบางช่วงขาดหายไปบ้าง(รู้ตัวอีกทีก็แก่แล้ว) แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อตนเองลงทุนขีดชะตาชีวิตมาให้เป็นแบบนี้ เดินหมากมาถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็ต้องก้าวต่อไปให้สุดกระดาน อย่างน้อยมันก็คือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข และที่สำคัญมัน คือความฝันของเรา
สิ่งหนึี่งที่ได้จากการเรียนในคณะสถาปัตย์ฯทำให้ผู้เขียน ได้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะยากเกินความพยายามของมนุษย์ แม้อนาคตข้างหน้าไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเช่นไร สักวันหนึ่งตัวผู้เขียนอาจไม่ได้เป็นสถาปนิกอย่างที่เคยใฝ่ฝันไว้ตอนเด็กก็ได้ อาจด้วยเพราะปัจจัยหลายๆอย่างที่เข้ามาในชีวิต ยิ่งเราโตขึ้นก็ยิ่งมีเรื่องต้องให้คิดมากขึ้น ไม่เหมือนกับเด็กน้อยในวันวานอีกแล้ว แต่ก็จะพยายามทำให้เส้นความฝันกับความจริงมาบรรจบกันให้ได้ ชีวิตคนเราสั้นแค่เพียงจักรวาลกระพริบตา วินาทีข้างหน้าไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น เราควรทำในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำเช่นนั้นใช่ไหม ?
ชญานุตม์ ถาวโรฤทธิ์ 49020125
อ่านแล้วครับ......สตป. สู้ต่อไป......ข้างหน้าไม่ใช่แค่มรสุม แต่อาจจะมี เฮริเคน แผ่นดินไหว สึนามิ...รออยู่
ตอบลบสตป. ส้มตำปู ค่ะ.....จะสู้ต่อไปค่ะ สู้
ตอบลบ